ทดลองเรียน ติวสอบราชการ ได้สายงานมูลค่า  590 บาท “ฟรี”

เคล็ดลับการจัดเวลาการสอบ ก.พ.

เคล็ดลับ จัดการเวลาสอบ ก.พ. ให้ไม่พลาดทุกคำถาม

การสอบ ก.พ. หรือการทดสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไปของสำนักงาน ก.พ. ถือเป็นด่านสำคัญที่ผู้สมัครสอบราชการทุกคนต้องผ่านให้

ได้ การสอบนี้ไม่เพียงแต่วัดทักษะความรู้ในวิชาต่างๆ เช่น ความสามารถทั่วไป ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แต่ยังท้าทายความสามารถในการ

บริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพ เพราะข้อสอบมีจำนวนมาก และเวลาค่อนข้างจำกัด ซึ่งหากจัดการเวลาไม่ดี อาจทำให้พลาดคำถามสำคัญหลายข้อ

โดยไม่รู้ตัว

ดังนั้น การฝึกฝนและวางแผนการจัดการเวลาในการทำข้อสอบจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และนี่คือเคล็ดลับสำคัญในการจัดการเวลาสอบ ก.พ.

เพื่อให้คุณทำข้อสอบได้อย่างครบถ้วน ไม่พลาดทุกคำถาม และมีโอกาสผ่านอย่างมั่นใจ

การสอบ ก.พ. เป็นการสอบที่มุ่งวัดความรู้ ความสามารถ และทักษะที่จำเป็นในการทำงานราชการ ซึ่งมีข้อจำกัดด้านเวลาในการทำข้อสอบ

ที่ชัดเจน ผู้เข้าสอบต้องสามารถบริหารเวลาในการทำข้อสอบให้เหมาะสมกับแต่ละพาร์ต เพื่อให้สามารถทำข้อสอบได้ครบทุกข้อ

ภายในเวลาที่กำหนด และเพิ่มโอกาสในการทำคะแนนได้สูงที่สุด

ข้อสอบ ก.พ. แบ่งออกเป็น 3 พาร์ตหลัก ได้แก่ ความสามารถทั่วไป, ภาษาไทย, และ ภาษาอังกฤษ ซึ่งแต่ละพาร์ตมีลักษณะและจำนวนข้อสอบแตก

ต่างกันไป ส่งผลต่อการวางแผนการบริหารเวลา ดังนี้

เลือกอ่าน...ตามหัวข้อที่คุณสนใจ

📌 วิเคราะห์เวลาที่ได้รับในแต่ละพาร์ต

Part ความสามารถทั่วไป

📍จำนวนข้อสอบ: ประมาณ 50–60 ข้อ

📍เวลาโดยประมาณ: 90 นาที

ลักษณะของข้อสอบ: พาร์ตนี้เน้นการวัดความสามารถทางด้านการคิดวิเคราะห์ การคำนวณ และตรรกะ โดยคำถามหลักๆ จะประกอบไปด้วย

🟡 การวิเคราะห์เชิงตัวเลข เช่น โจทย์คณิตศาสตร์พื้นฐาน อนุกรมตัวเลข สมการ และเปอร์เซ็นต์

🟡 การวิเคราะห์ข้อมูลจากตารางหรือกราฟ

🟡 การคิดเชิงตรรกะ เช่น โจทย์เกี่ยวกับเหตุผลเชิงสัมพันธ์หรือรูปภาพ

การจัดสรรเวลา

✅ เวลาที่เหมาะสมต่อข้อ: ประมาณ 1.5-2 นาที

✅ ข้อสอบพาร์ตนี้ต้องการการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล ผู้สอบควรเริ่มต้นด้วยข้อที่ง่ายหรือถนัดก่อนเพื่อเก็บคะแนนให้ได้มากที่สุด

และข้ามข้อที่ใช้เวลาในการคำนวณนานเกินไปไว้ทำภายหลัง

✅ ควรใช้เวลา 60-70 นาที ในการทำข้อสอบหลัก และเผื่อเวลา 10-15 นาทีสุดท้ายเพื่อกลับมาทบทวนข้อที่ข้ามไว้

Part ภาษาไทย

ลักษณะของข้อสอบ: วัดทักษะการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องและเหมาะสม

📍จำนวนข้อสอบ: ประมาณ 25–30 ข้อ

📍เวลาโดยประมาณ: 45 นาที

🟡 การอ่านจับใจความสำคัญจากบทความหรือข้อความสั้นๆ

🟡 การวิเคราะห์บทความ เช่น การระบุแนวคิดหลัก หรือจุดประสงค์ของผู้เขียน

🟡 การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง เช่น การเรียงประโยค, การหาคำผิดคำถูก, และคำเชื่อมที่เหมาะสม

การจัดสรรเวลา

✅ เวลาที่เหมาะสมต่อข้อ: ประมาณ 1.5-2 นาที

✅ การอ่านจับใจความเป็นหัวใจสำคัญของพาร์ตนี้ ผู้เข้าสอบควรอ่านคำถามก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าควรเน้นอ่านจุดไหนของบทความ

เพื่อลดเวลาในการอ่านทบทวนหลายรอบ

✅ ใช้เวลาในการทำข้อสอบแต่ละบทความประมาณ 5-7 นาที และพยายามไม่ให้เกินเวลา เพราะบางข้ออาจมีความซับซ้อนและต้องตีความมากขึ้น

Part ภาษาอังกฤษ

📍จำนวนข้อสอบ: ประมาณ 25–30 ข้อ

📍เวลาโดยประมาณ: 45 นาที

🟡 การอ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading Comprehension) เช่น การวิเคราะห์บทความสั้นๆ และตอบคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่อ่าน

🟡 คำศัพท์ (Vocabulary) เช่น การหาความหมายของคำศัพท์ หรือการเติมคำในช่องว่างให้ถูกต้อง

🟡 ไวยากรณ์ (Grammar) เช่น การเรียงประโยคหรือการเลือกใช้คำกริยาให้เหมาะสม

การจัดสรรเวลา

✅ เวลาที่เหมาะสมต่อข้อ: ประมาณ 1.5-2 นาที

✅ ในส่วนของการอ่านบทความ ให้ใช้เทคนิค "Skim & Scan" คือ การกวาดตาอ่านเพื่อหาคำหรือประโยคที่ตรงกับคำถาม

✅ สำหรับคำศัพท์และไวยากรณ์ ให้เน้นทำข้อที่มั่นใจและถนัดก่อน ข้อที่ไม่มั่นใจให้ทำเครื่องหมายไว้ และกลับมาทำภายหลัง

พาร์ทการสอบของ ก.พ.

📌 แชร์เคล็ดลับ จัดการเวลาสอบ ก.พ. ให้ไม่พลาดทุกคำถาม

การสอบ ก.พ. หรือการทดสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไปของสำนักงาน ก.พ. ถือเป็นด่านสำคัญที่ผู้สมัครสอบราชการทุกคนต้องผ่าน

ให้ได้ การสอบนี้ไม่เพียงแต่วัดทักษะความรู้ในวิชาต่างๆ เช่น ความสามารถทั่วไป ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แต่ยังท้าทายความสามารถในการ

บริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพ เพราะข้อสอบมีจำนวนมาก และเวลาค่อนข้างจำกัด ซึ่งหากจัดการเวลาไม่ดี อาจทำให้พลาดคำถามสำคัญหลาย

ข้อโดยไม่รู้ตัว

ดังนั้น การฝึกฝนและวางแผนการจัดการเวลาในการทำข้อสอบจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และนี่คือเคล็ดลับสำคัญในการจัดการเวลาสอบ

ก.พ. เพื่อให้คุณทำข้อสอบได้อย่างครบถ้วน ไม่พลาดทุกคำถาม และมีโอกาสผ่านอย่างมั่นใจ

🕐 แบ่งเวลาตามสัดส่วนของข้อสอบ

ข้อสอบ ก.พ. มักแบ่งออกเป็น 3 พาร์ตหลัก ได้แก่ ความสามารถทั่วไป (คณิตศาสตร์และเหตุผล), ภาษาไทย, และ ภาษาอังกฤษ

โดยแต่ละพาร์ตมีจำนวนข้อและความยากง่ายแตกต่างกัน ผู้สอบควรจัดสรรเวลาในแต่ละพาร์ตให้ชัดเจน เช่น:

📝 พาร์ตความสามารถทั่วไป: 90 นาที

📝 พาร์ตภาษาไทย: 45 นาที

📝 พาร์ตภาษาอังกฤษ: 45 นาที

เมื่อรู้เวลาโดยประมาณสำหรับแต่ละพาร์ตแล้ว ควรกำหนดเวลาในการทำข้อสอบต่อข้อ เช่น ข้อสอบที่ใช้การคิดคำนวณหรือวิเคราะห์ละเอียดให้

ใช้เวลาไม่เกิน 1.5-2 นาทีต่อข้อ ข้อสอบภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับการอ่านจับใจความหรือเติมคำควรใช้เวลาประมาณ 1-1.5 นาทีต่อข้อ

🕐 เริ่มจากข้อที่ถนัดและทำได้เร็วที่สุด

ในข้อสอบแต่ละพาร์ต จะมีคำถามที่ยากและง่ายคละกันไป ดังนั้นอย่าเสียเวลาอยู่กับคำถามที่ทำไม่ได้ในทันที ควรเลือกทำข้อที่ถนัดและคิดว่า

สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องก่อน เพื่อเก็บคะแนนส่วนนี้ให้ได้มากที่สุด แล้วค่อยย้อนกลับมาทำข้อที่เหลือภายหลัง

📍เทคนิคนี้จะช่วยให้คุณทำคะแนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำข้อสอบไม่ทัน

📍การทำข้อที่ง่ายก่อนยังช่วยเพิ่มความมั่นใจและลดความกดดันในห้องสอบอีกด้วย

🕐 ฝึกจับเวลาในการทำข้อสอบเสมือนจริง

การฝึกทำข้อสอบเสมือนจริงเป็นสิ่งจำเป็นในการเตรียมสอบ ก.พ. เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับรูปแบบข้อสอบแล้ว ยังเป็นการฝึกฝน

ทักษะการบริหารเวลาให้เหมาะสมอีกด้วย โดยควร:

📍ทำข้อสอบชุดใหญ่แบบจับเวลาเหมือนสอบจริง

📍แบ่งเวลาให้แต่ละพาร์ตตามที่วางแผนไว้ และหมั่นฝึกให้ทำทันในเวลาที่กำหนด

📍จดบันทึกว่าพาร์ตไหนใช้เวลานานเกินไป และปรับปรุงในจุดนั้นให้ดีขึ้น

การฝึกบ่อยๆ จะทำให้คุณรู้ว่าข้อสอบประเภทไหนใช้เวลาเท่าไหร่ และสามารถวางแผนการทำข้อสอบได้อย่างรัดกุมในวันสอบจริง

🕐 ใช้เทคนิคการอ่านเร็ว (Skim & Scan) สำหรับข้อสอบภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

ข้อสอบภาษาไทยและภาษาอังกฤษมักเป็นข้อสอบที่เกี่ยวข้องกับการอ่านจับใจความ ซึ่งอาจทำให้เสียเวลาในการอ่านข้อความยาวๆ ดังนั้นการ

ใช้เทคนิคการอ่านเร็วอย่าง Skim & Scan จะช่วยประหยัดเวลาได้มากขึ้น

🌟 Skim: อ่านบทความโดยกวาดตาดูเนื้อหาคร่าวๆ เพื่อจับใจความหลัก

🌟 Scan: มองหาคำสำคัญหรือข้อมูลเฉพาะที่ตรงกับคำถาม

เทคนิคนี้ช่วยให้คุณหาคำตอบได้รวดเร็วโดยไม่ต้องอ่านทุกรายละเอียด

🕐 อย่าปล่อยให้คำถามใดว่างไว้

ในข้อสอบ ก.พ. ไม่มีการหักคะแนนสำหรับคำตอบที่ผิด ดังนั้นไม่ว่าข้อไหนที่ไม่แน่ใจ ให้เดาคำตอบที่คิดว่าถูกต้องที่สุดเอาไว้

เพราะการปล่อยว่างไม่ตอบเลยเท่ากับเสียโอกาสในการทำคะแนน

🌟 เมื่อเหลือเวลา 5-10 นาทีสุดท้าย ควรไล่เช็กข้อที่ยังไม่ได้ทำ และทำการเลือกคำตอบ

🌟 หากทำข้อสอบแบบฝนกระดาษคำตอบ ควรเผื่อเวลา 5 นาทีสุดท้ายในการตรวจสอบความถูกต้องของการฝนคำตอบให้ครบทุกข้อ

🕐 ตั้งสติและควบคุมอารมณ์ให้ดี

ในห้องสอบ ความกดดันและความเครียดอาจทำให้การจัดการเวลาเสียไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นควรมีสติอยู่เสมอ หากเจอข้อที่ยากให้สูดลม

หายใจลึกๆ และข้ามไปทำข้อถัดไปก่อน อย่าปล่อยให้ความกังวลมาทำให้เสียเวลาและสมาธิในการทำข้อสอบ

📌 สรุปเคล็ดลับจัดการเวลาสอบ ก.พ.

ในห้องสอบ ความกดดันและความเครียดอาจทำให้การจัดการเวลาเสียไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นควรมีสติอยู่เสมอ หากเจอข้อที่ยากให้สูดลม

หายใจลึกๆ และข้ามไปทำข้อถัดไปก่อน อย่าปล่อยให้ความกังวลมาทำให้เสียเวลาและสมาธิในการทำข้อสอบ

✅ แบ่งเวลาตามสัดส่วนของข้อสอบอย่างชัดเจน

✅ ทำข้อที่ถนัดและง่ายก่อน

✅ ฝึกทำข้อสอบเสมือนจริงพร้อมจับเวลา

✅ ใช้เทคนิคการอ่านเร็วสำหรับพาร์ตภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

✅ ทำทุกคำถาม อย่าปล่อยข้อไหนว่างไว้

✅ ตั้งสติและควบคุมอารมณ์ให้ดี

คุณสามารถจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้คุณทำข้อสอบได้ครบถ้วน มีเวลาตรวจทาน และเพิ่มโอกาสในการสอบผ่านได้อย่าง

แน่นอน

📌 เทคนิคการบริหารเวลาโดยรวม

💡 ทำข้อที่ง่ายก่อน – ข้อสอบทุกพาร์ตจะมีข้อที่ยากและง่ายปะปนกันไป ให้เลือกทำข้อที่คิดว่าสามารถตอบได้เร็วและถูกต้องก่อน

💡 จับเวลาในการทำข้อสอบ – หมั่นดูนาฬิกาเป็นระยะ เพื่อให้แน่ใจว่าใช้เวลาไม่เกินที่กำหนดในแต่ละพาร์ต

💡 ข้ามข้อที่ยากไว้ก่อน – หากพบข้อสอบที่ยากและต้องใช้เวลานานเกินไป ให้ข้ามไปก่อนและกลับมาทำใหม่เมื่อเหลือเวลา

💡 เผื่อเวลาในการตรวจทาน – ในช่วง 5-10 นาทีสุดท้าย ควรเผื่อเวลาในการตรวจทานคำตอบ โดยเฉพาะข้อที่ข้ามไว้

การบริหารเวลาในการสอบ ก.พ. เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้สอบทำข้อสอบได้ครบถ้วนและ มีประสิทธิภาพ พาร์ตความสามารถทั่วไปใช้เวลาและ

การวิเคราะห์มากที่สุด จึงต้องวางแผนให้ดี ส่วนพาร์ตภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษเน้นการทำข้อสอบด้วยความรอบคอบและการอ่านจับใจ

ความอย่างรวดเร็ว ผู้สอบควรฝึกฝนการทำข้อสอบเสมือนจริงบ่อยๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและประเมินความสามารถในการบริหารเวลาได้อย่าง

เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้การสอบ ก.พ. เป็นไปอย่างมั่นใจและประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้

📌 เลือกทำข้อที่ง่ายก่อน หรือข้อที่ได้คะแนนสูงก่อน

การสอบแข่งขันต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบ ก.พ. หรือการสอบเข้าทำงานภาคราชการ ผู้เข้าสอบมักเผชิญกับความท้าทายในการจัดการ

เวลาและการวางแผนทำข้อสอบให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยคือ ควรเริ่มทำข้อสอบจากข้อที่ง่ายก่อน หรือข้อที่ได้คะแนนสูง

ก่อน? การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณทำข้อสอบได้ครบถ้วนและมีโอกาสทำคะแนนได้มากที่สุด ทั้งสองแนวทางมีข้อดีและข้อเสียต่าง

กันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อสอบ เวลาที่กำหนด และความสามารถเฉพาะตัวของผู้สอบ ดังนั้นเรามาวิเคราะห์เชิงลึกกันว่าแต่ละกลยุทธ์เหมาะ

กับสถานการณ์ใด และควรใช้อย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

📌กลยุทธ์: ทำข้อที่ง่ายก่อน

หลักการ: เริ่มต้นทำข้อสอบจากข้อที่คิดว่าทำได้เร็วและมั่นใจว่าตอบถูกต้องที่สุด เพื่อเก็บคะแนนสะสมและลดความกดดัน

ข้อดีของการทำข้อที่ง่ายก่อน:

💡 เก็บคะแนนได้อย่างรวดเร็ว: ข้อที่ง่ายและทำได้ไวจะช่วยให้คุณมั่นใจว่าได้คะแนนจากข้อเหล่านั้นแน่นอน

💡 ลดความตื่นเต้นและความเครียด: การเริ่มทำข้อที่ง่ายทำให้สมองผ่อนคลาย มีสมาธิมากขึ้น และสร้างความมั่นใจในการทำข้อสอบ

💡 ข้ามข้อที่ยากไว้ก่อน – หากพบข้อสอบที่ยากและต้องใช้เวลานานเกินไป ให้ข้ามไปก่อนและกลับมาทำใหม่เมื่อเหลือเวลา

💡 ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า: การทำข้อที่ง่ายก่อนช่วยให้คุณประหยัดเวลา และไม่เสี่ยงเสียเวลานานเกินไปกับข้อที่ยากตั้งแต่แรก

💡 เหลือเวลาไปจัดการข้อยาก: เมื่อทำข้อที่ง่ายเสร็จแล้ว คุณจะมีเวลามากขึ้นในการแก้โจทย์ข้อที่ยากหรือซับซ้อน

สถานการณ์ที่เหมาะกับการทำข้อที่ง่ายก่อน:

🟡 ข้อสอบที่มีจำนวนคำถามมาก และเวลาจำกัด เช่น ข้อสอบ ก.พ. ซึ่งเน้นจำนวนข้อที่หลากหลาย

🟡 ผู้สอบที่ต้องการสร้างความมั่นใจในช่วงเริ่มต้น เพราะการตอบข้อที่ง่ายได้ถูกต้องจะทำให้เกิดกำลังใจในการทำข้อสอบต่อ

🟡 ข้อสอบที่แต่ละคำถามให้คะแนนเท่ากัน เช่น ข้อสอบปรนัยหรือ multiple choice

วิธีปฏิบัติ:

✔️ กวาดตาดูข้อสอบทั้งชุดอย่างรวดเร็วในช่วงแรก (ประมาณ 1-2 นาที)หรือต้องใช้เวลามากขึ้น

✔️ ใช้สัญลักษณ์ทำเครื่องหมายไว้ เช่น ✔สำหรับข้อที่มั่นใจทำได้เร็ว, ? สำหรับข้อที่ไม่แน่ใจ และ ✘ สำหรับข้อที่ยากหรือต้องใช้เวลามากขึ้น

✔️ เริ่มต้นทำจากข้อที่ทำได้เร็วและมั่นใจว่าจะตอบถูกต้อง หลังจากเก็บคะแนนจากข้อที่ง่ายแล้ว ค่อยย้อนกลับไปทำข้อที่ยาก

กลยุทธ์: ทำข้อที่ได้คะแนนสูงก่อน

เริ่มต้นทำข้อสอบจากคำถามที่มีคะแนนสูงหรือให้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุด แม้ว่าข้อเหล่านั้นอาจจะยากกว่า เพื่อให้มั่นใจว่าได้คะแนนก้อนใหญ่ก่อน

ข้อดีของการทำข้อที่ได้คะแนนสูงก่อน:

✅ เก็บคะแนนก้อนใหญ่ไว้ก่อน หากข้อสอบมีการกำหนดคะแนนไม่เท่ากัน เช่น ข้อบางประเภทได้ 2 คะแนน ในขณะที่ข้ออื่นๆ ได้ 1 คะแนน

ที่มีคะแนนสูงก่อนจะช่วยเพิ่มโอกาสได้คะแนนรวมมากขึ้น

✅ ป้องกันการพลาดคะแนนสำคัญ: ในกรณีที่ทำข้อสอบไม่ทัน การเริ่มจากข้อที่มีคะแนนมากจะทำให้ไม่เสียคะแนนที่สำคัญไป

✅ เหมาะกับคนที่ทำข้อยากได้ดี: หากผู้สอบเป็นคนที่มีความถนัดในการแก้โจทย์ยาก การเริ่มต้นจากข้อที่มีคะแนนสูงจะ

ทำให้ใช้ความสามารถได้เต็มที่

สถานการณ์ที่เหมาะกับการทำข้อที่ได้คะแนนสูงก่อน:

📍 ข้อสอบที่กำหนดคะแนนแตกต่างกัน เช่น ข้อสอบอัตนัย (Essay) ข้อสอบคำนวณ หรือข้อสอบที่มีหลายตอนให้คะแนนตามความยากง่าย

📍ผู้สอบที่มั่นใจในความสามารถของตนเองในการทำข้อยากก่อน โดยไม่กดดันหรือเสียสมาธิ

📍เวลาที่มีจำกัดมากและต้องการเก็บคะแนนสูงสุดในเวลาที่มี

สถานการณ์ที่เหมาะกับการทำข้อที่ได้คะแนนสูงก่อน:

📍อ่านคำชี้แจงข้อสอบและตรวจสอบคะแนนของแต่ละข้อหรือแต่ละพาร์ต

📍ระบุข้อที่มีคะแนนสูงและประเมินความยากง่ายของข้อเหล่านั้น

📍เริ่มทำจากข้อที่มีคะแนนสูงสุดและพยายามใช้เวลาอย่างคุ้มค่า

📍เมื่อทำเสร็จแล้วจึงย้อนกลับมาทำข้อที่มีคะแนนต่ำลง

คำแนะนำ: ผสมผสานทั้งสองกลยุทธ์

จากการวิเคราะห์ทั้งสองกลยุทธ์ จะเห็นได้ว่าต่างมีข้อดีและข้อจำกัด ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการผสมผสานทั้งสองวิธีเข้าด้วยกัน โดยเริ่มต้นทำข้อที่

ง่ายและได้คะแนนแน่นอนก่อน จากนั้นจึงไปทำข้อที่มีคะแนนสูงเพื่อเก็บคะแนนก้อนใหญ่ต่อไป

แนวทางปฏิบัติแบบผสมผสาน

📍ขั้นตอนแรก: ใช้เวลา 1-2 นาทีแรกกวาดตาดูข้อสอบและวางแผนการทำ

📍ขั้นตอนที่สอง: ทำข้อที่ง่ายก่อนเพื่อเก็บคะแนนอย่างรวดเร็วและสร้างความมั่นใจ

📍ขั้นตอนที่สาม: หลังจากทำข้อที่ง่ายหมดแล้ว ให้กลับไปทำข้อที่มีคะแนนสูงหรือข้อที่ยากขึ้น

📍ขั้นตอนสุดท้าย: ตรวจทานคำตอบทั้งหมด และดูว่ามีข้อไหนที่ยังข้ามไปหรือทำไม่เสร็จบ้าง

การเลือกว่าจะทำข้อที่ง่ายก่อนหรือข้อที่ได้คะแนนสูงก่อนนั้น ขึ้นอยู่กับรูปแบบข้อสอบและความสามารถของผู้สอบ หากข้อสอบให้คะแนนเท่ากัน

การทำข้อที่ง่ายก่อนจะช่วยให้เก็บคะแนนได้อย่างรวดเร็วและลดความกดดัน แต่หากข้อสอบมีคะแนนไม่เท่ากัน ควรเน้นไปที่ข้อที่มีคะแนนสูง

ก่อนเพื่อป้องกันการเสียคะแนนสำคัญ ท้ายที่สุดแล้ว การผสมผสานทั้งสองกลยุทธ์และการฝึกฝนทำข้อสอบ

เสมือนจริงบ่อยๆ จะช่วยให้ผู้สอบสามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำคะแนนได้สูงสุดตามที่คาดหวังไว้

📌 ควรเตรียมตัวสอบกี่เดือน

การสอบ ก.พ. (การทดสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไป) เป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานราชการ การเตรียมตัวให้ดีและ

มีเวลาเพียงพอเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสอบผ่าน ดังนั้นคำถามที่หลายคนสงสัยก็คือ ควรเตรียมตัวสอบกี่เดือนจึงจะเพียงพอ

ซึ่งคำตอบนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรู้พื้นฐานของผู้สอบ ความสามารถในการเรียนรู้ และความสม่ำเสมอในการอ่านหนังสือ

ควรเตรียมตัวสอบกี่เดือน สำหรับการสอบ ก.พ.: แผนการเตรียมความพร้อมอย่างมีประสิทธิภาพ

การสอบ ก.พ. (การทดสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไป) เป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานราชการ การเตรียมตัวให้ดีและ

มีเวลาเพียงพอเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสอบผ่าน ดังนั้นคำถามที่หลายคนสงสัยก็คือ ควรเตรียมตัวสอบกี่เดือนจึงจะเพียงพอ

ซึ่งคำตอบนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรู้พื้นฐานของผู้สอบ ความสามารถในการเรียนรู้ และความสม่ำเสมอในการอ่านหนังสือ

📌 ระยะเวลาที่เหมาะสมในการเตรียมตัวสอบ ก.พ.

โดยทั่วไป ผู้สมัครสอบควรเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างน้อย 3-6 เดือน ก่อนวันสอบจริง แต่ทั้งนี้สามารถปรับให้เหมาะสมตามความพร้อมและ

ความถนัดของตนเองได้ ซึ่งระยะเวลานี้แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ดังนี้

สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานความรู้ดีอยู่แล้ว

🕐 ระยะเวลาเตรียมตัว: 2-3 เดือน

ผู้ที่มีพื้นฐานความรู้แน่นทั้งในวิชาคณิตศาสตร์ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ จะใช้เวลาไม่นานในการทบทวนเนื้อหา

และฝึกทำข้อสอบเก่า การเตรียมตัวในช่วงนี้จะเน้นไปที่การทบทวนจุดอ่อนของตนเอง และฝึกทำข้อสอบเสมือนจริงให้มากที่สุด

แผนการเตรียมตัวสำหรับ 3 เดือน:

🪄 เดือนที่ 1: ทบทวนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความสามารถทั่วไป (เช่น คณิตศาสตร์พื้นฐาน, การคิดวิเคราะห์)

🪄 เดือนที่ 2: ทบทวนภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ฝึกทำโจทย์เก่าๆ และดูแนวข้อสอบ

🪄 เดือนที่ 3: ฝึกทำข้อสอบเสมือนจริง จับเวลา และวิเคราะห์ผลการทำข้อสอบ

สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานปานกลาง

ระยะเวลาเตรียมตัว: 4-5 เดือน สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานในระดับปานกลาง เช่น เข้าใจเนื้อหาบางส่วน แต่ยังมีจุดที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม

การเตรียมตัวในระยะ 4-5 เดือนจะช่วยให้มีเวลาเพียงพอในการเติมเต็มจุดที่ขาด และฝึกฝนทักษะต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

แผนการเตรียมตัวสำหรับ 4-5 เดือน:

🟡 เดือนที่ 1-2: ปูพื้นฐานวิชาคณิตศาสตร์ เช่น การคำนวณเปอร์เซ็นต์, อัตราส่วน, อนุกรมตัวเลข เรียนรู้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูล

ตาราง และกราฟ

🟡 เดือนที่ 3: ทบทวนวิชาภาษาไทย ฝึกทำข้อสอบเกี่ยวกับการอ่านจับใจความ, การสรุปความ และการวิเคราะห์ข้อความ

เริ่มฝึกภาษาอังกฤษพื้นฐาน เช่น คำศัพท์, Grammar และการอ่านบทความสั้นๆ

🟡 เดือนที่ 4: ฝึกทำข้อสอบเก่าทั้ง 3 วิชา พร้อมจับเวลา ทบทวนข้อที่ผิดพลาด และศึกษาเทคนิคการทำข้อสอบให้รวดเร็วขึ้น

🟡 เดือนที่ 5: ทำข้อสอบเสมือนจริงหลายชุดเพื่อให้เกิดความชำนาญ

สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานอ่อนหรือเริ่มต้นจากศูนย์

ระยะเวลาเตรียมตัว: 6 เดือนขึ้นไป

หากผู้สมัครสอบรู้สึกว่าตนเองมีพื้นฐานไม่แน่นในวิชาที่จะสอบ หรือห่างเหินจากการเรียนมาเป็นเวลานาน การเตรียมตัวอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป

จะทำให้มีเวลาเพียงพอในการเรียนรู้เนื้อหาใหม่ๆ และสร้างความมั่นใจในการทำข้อสอบ

แผนการเตรียมตัวสำหรับ 6 เดือน:

เดือนที่ 1-2:

ปูพื้นฐานคณิตศาสตร์ใหม่ทั้งหมด เช่น การบวก-ลบ-คูณ-หาร, การแก้สมการ, อนุกรมตัวเลข และการคิดวิเคราะห์

เรียนรู้เนื้อหาภาษาไทยพื้นฐาน เช่น การอ่านจับใจความและการใช้ภาษาให้ถูกต้อง

เดือนที่ 3-4: เริ่มเรียนภาษาอังกฤษพื้นฐาน เน้นการท่องคำศัพท์สำคัญและโครงสร้างไวยากรณ์

ฝึกทำข้อสอบคณิตศาสตร์และภาษาไทยชุดย่อยๆ

เดือนที่ 5: เริ่มทำข้อสอบรวมแบบจับเวลา เน้นทำข้อสอบเก่าอย่างสม่ำเสมอ วิเคราะห์จุดอ่อนจากการทำข้อสอบและทบทวนเนื้อหาที่ผิดบ่อย

เดือนที่ 6: ทำข้อสอบเสมือนจริงอย่างต่อเนื่อง ฝึกความคุ้นชินในการจับเวลาและแก้ปัญหาในเวลาจำกัด

การเตรียมตัวสอบ ก.พ. ควรใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความรู้และความสามารถของผู้สอบ หากมีพื้นฐานดีอยู่แล้ว 2-3

เดือนก็เพียงพอ แต่หากมีพื้นฐานอ่อนหรือเริ่มจากศูนย์ ควรใช้เวลา 6 เดือนขึ้นไป เพื่อให้สามารถปูพื้นฐานใหม่ ทบทวนเนื้อหา และฝึกทำข้อสอบ

จนเกิดความมั่นใจ ที่สำคัญที่สุดคือ ความสม่ำเสมอและวินัยในการอ่านหนังสือ หากคุณมีแผนการเรียนรู้ที่ชัดเจนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

โอกาสในการสอบผ่าน ก.พ. จะไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอน!

📌 ระยะเวลาที่เหมาะสมในการเตรียมตัวสอบ ก.พ.

การสอบ ก.พ. (ภาค ก) เป็นการทดสอบที่วัดความสามารถทั่วไป ซึ่งเป็นด่านแรกของการเข้ารับราชการในหน่วยงานต่าง ๆ ข้อสอบมักมีจำนวน

มากและเวลาจำกัด ดังนั้นการทำข้อสอบให้เสร็จทันเวลาและยังเหลือเวลาสำหรับตรวจทานคำตอบจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพื่อป้องกัน

ความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว การตรวจทานคำตอบก่อนส่งกระดาษสามารถช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าทุกข้อทำอย่างถูกต้อง

และไม่พลาดคะแนนไปอย่างน่าเสียดาย

📌 เหตุผลที่ควรตรวจทานคำตอบก่อนส่งกระดาษ

✅ ลดความผิดพลาดจากความรีบร้อน: ในช่วงเวลาที่ทำข้อสอบ คุณอาจตอบผิดเพราะความรีบร้อนหรือความกดดัน การตรวจทานคำตอบช่วย

ให้คุณเห็นข้อผิดพลาดที่อาจมองข้ามไป

✅ แก้ไขการกรอกคำตอบผิดพลาด: ในข้อสอบปรนัย การระบายคำตอบในกระดาษคำตอบเป็นสิ่งที่ต้องระวัง การระบายผิดข้อหรือข้ามข้อ

สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย

✅ ตรวจสอบคำตอบที่ไม่มั่นใจ: บางข้อที่คุณลังเลหรือเดาไว้ในตอนแรก เมื่อกลับมาตรวจทานอีกครั้ง คุณอาจนึกออกหรือหา

ข้อสรุปที่ถูกต้องกว่าเดิม

✅ เพิ่มความมั่นใจ: การตรวจทานคำตอบช่วยสร้างความมั่นใจว่าได้ทำข้อสอบอย่างดีที่สุด และไม่ได้ปล่อยข้อไหนว่างโดยไม่ตั้งใจ

ป้องกันข้อที่ทำไม่ครบ: ในบางครั้ง ผู้สอบอาจเผลอข้ามไปบางข้อ การตรวจทานทำให้แน่ใจว่าได้ทำครบทุกข้อ

วิธีการตรวจทานคำตอบอย่างมีประสิทธิภาพ

จัดสรรเวลาให้มีเวลาตรวจทาน

✅ ก่อนเริ่มทำข้อสอบ ให้กำหนดแผนการทำข้อสอบและเผื่อเวลาไว้สำหรับตรวจทานคำตอบ เช่น หากข้อสอบมีเวลา 2 ชั่วโมง ให้เผื่อ

เวลา 10-15 นาทีสุดท้ายไว้สำหรับตรวจทาน

✅ จับเวลาให้ดีในแต่ละพาร์ต หากใช้เวลาทำข้อสอบนานเกินไปในข้อที่ยาก ควรข้ามไปทำข้อถัดไปก่อน แล้วค่อยกลับมาดูใหม่เมื่อมีเวลา

ตรวจคำตอบในกระดาษคำตอบให้ถูกต้อง

⭕️ ข้อสอบ ก.พ. มักใช้กระดาษคำตอบแบบฝนวงกลม (OMR) การระบายคำตอบผิดตำแหน่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย เช่น ข้ามข้อแต่ลืมเลื่อนไปที่

ช่องคำตอบถัดไป

⭕️ เทคนิคการตรวจ: ตรวจสอบว่าระบายคำตอบถูกต้องตรงกับข้อที่ทำในข้อสอบหรือไม่ ดูให้ดีว่าทุกข้อมีการฝนคำตอบไว้หรือไม่

หากข้อใดที่ข้ามไปหรือยังไม่ได้ทำ ให้รีบกลับมาทำก่อนหมดเวลา ใช้ดินสอ 2B ที่มีคุณภาพดีเพื่อให้ฝนได้ชัดเจนและลบได้ง่าย หากต้องแก้ไข

ทบทวนข้อที่ทำผิดพลาดหรือไม่มั่นใจ

⭕️ ในระหว่างการทำข้อสอบ ให้ทำสัญลักษณ์กำกับข้อที่ไม่มั่นใจ เช่น ขีดเครื่องหมาย * ไว้หน้าข้อ เพื่อให้สามารถกลับมาดูใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

⭕️ ในช่วงตรวจทาน ให้ทบทวนข้อที่ทำเครื่องหมายไว้เป็นพิเศษ และลองอ่านคำถามหรือโจทย์ใหม่อีกครั้ง เพื่อดูว่ามีสิ่งที่มองข้ามไปหรือไม่

เคล็ดลับเพิ่มเติม

⭕️ สำหรับข้อคำนวณหรือโจทย์ตรรกะ ให้ตรวจคำตอบโดยการ ย้อนรอยการคิดคำนวณ เช่น คำนวณจากคำตอบย้อนกลับไปที่โจทย์

⭕️ หากเป็นข้อภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ให้อ่านคำถามและคำตอบอีกครั้งเพื่อความถูกต้องในการตีความ

ตรวจสอบข้อที่เดาหรือใช้วิธีตัดตัวเลือก

⭕️ หากมีข้อที่ต้องเดาเนื่องจากทำไม่ทันหรือไม่แน่ใจ ให้ลองทบทวนอีกครั้งโดยใช้วิธีการตัดตัวเลือกที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป

⭕️ บางครั้งการอ่านโจทย์รอบที่สองจะช่วยให้คุณเห็นคำตอบที่ชัดเจนขึ้น

ตรวจสอบภาพรวมของกระดาษคำตอบ

⭕️ ดูให้แน่ใจว่าคำตอบครบทุกข้อ ไม่มีช่องว่าง และไม่ระบายเกิน 1 ตัวเลือกในข้อเดียวกัน เพราะหากระบายมากกว่า 1 ข้อ ระบบจะนับ

เป็นคำตอบผิด

⭕️ ตรวจสอบความเรียบร้อยของการระบายคำตอบ ไม่ให้มีรอยขีดฆ่าหรือร่องรอยที่ทำให้ระบบตรวจคำตอบสับสน

การฝึกตรวจทานคำตอบตั้งแต่การทำข้อสอบฝึกหัด

การตรวจทานคำตอบให้มีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นต้องฝึกฝนเช่นเดียวกับการทำข้อสอบ การฝึกทำข้อสอบเก่าและจับเวลาเหมือนวันสอบจริง

จะช่วยสร้างความเคยชินและวางแผนเวลาสำหรับการตรวจทานได้ดีขึ้น

วิธีการฝึกตรวจทาน:

⭕️ ฝึกทำข้อสอบเก่าโดยกำหนดเวลาให้เหมือนจริง

⭕️ ทำข้อสอบให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด แล้วเผื่อเวลา 10-15 นาทีในการตรวจทานคำตอบ

⭕️ ฝึกทบทวนข้อผิดพลาด และจดบันทึกข้อที่ทำผิดบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิดซ้ำอีก

ข้อควรระวังในการตรวจทานคำตอบ

⭕️ อย่าเปลี่ยนคำตอบบ่อยเกินไป: หากไม่มั่นใจจริงๆ อย่าลบคำตอบและเปลี่ยนบ่อยเกินไป เพราะคำตอบแรกมักเป็นคำตอบที่ถูกต้องจาก

ความคิดแรกเริ่ม

⭕️ อย่าละเลยข้อที่ข้ามไป: ตรวจดูให้ดีว่าทุกข้อมีคำตอบหรือไม่ เพราะการปล่อยว่างไว้เป็นการเสียโอกาสในการทำคะแนน

การตรวจทานคำตอบก่อนส่งกระดาษคำตอบเป็นขั้นตอนที่ไม่ควรละเลยในการสอบ ก.พ. เพราะช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากความรีบเร่ง

และความประมาท ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบายคำตอบถูกต้องครบถ้วน และทบทวนข้อที่ไม่มั่นใจอีกครั้ง การจัดสรรเวลาอย่างเหมาะสม

และฝึกฝนการตรวจทานคำตอบตั้งแต่การทำข้อสอบฝึกหัด จะทำให้คุณมั่นใจและมีโอกาสทำคะแนนได้สูงขึ้นอย่างแน่นอน

Share !!!
Picture of เขียนโดย   พี่บัส GURU ACADEMY
เขียนโดย พี่บัส GURU ACADEMY

เจ้าของสถาบันติวการสอบราชการ ที่1 ของประเทศ

เขียนโดย พี่บัส GURU ACADEMY
เจ้าของสถาบันติวการสอบราชการ ที่ 1 ของประเทศ

บทความที่เกี่ยวข้อง

คอร์สติวสอบราชการ ออนไลน์

ที่สุด...แห่งคุณภาพ กว่า 10 ปี

ที่สุด…แห่งผลงานการันตีอันดับ 1

ที่สุด…แห่งความครบถ้วน จัดเต็มทุกวิชา

GURU ACADEMY คอร์สติวสอบราชการ

ประสบการณ์สอนมากกว่า 10 ปี มีลูกศิษย์มากกว่า 20,000 คน

เมนู

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหาให้เหมาะสมกับความสนใจของคุณ หากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาให้ตรงกับความสนใจของคุณได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า