การสอบ ก.พ. หรือการทดสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไปของสำนักงาน ก.พ. ถือเป็นด่านสำคัญที่ผู้สมัครสอบราชการทุกคนต้องผ่านให้
ได้ การสอบนี้ไม่เพียงแต่วัดทักษะความรู้ในวิชาต่างๆ เช่น ความสามารถทั่วไป ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แต่ยังท้าทายความสามารถในการ
บริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพ เพราะข้อสอบมีจำนวนมาก และเวลาค่อนข้างจำกัด ซึ่งหากจัดการเวลาไม่ดี อาจทำให้พลาดคำถามสำคัญหลายข้อ
โดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น การฝึกฝนและวางแผนการจัดการเวลาในการทำข้อสอบจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และนี่คือเคล็ดลับสำคัญในการจัดการเวลาสอบ ก.พ.
เพื่อให้คุณทำข้อสอบได้อย่างครบถ้วน ไม่พลาดทุกคำถาม และมีโอกาสผ่านอย่างมั่นใจ
การสอบ ก.พ. เป็นการสอบที่มุ่งวัดความรู้ ความสามารถ และทักษะที่จำเป็นในการทำงานราชการ ซึ่งมีข้อจำกัดด้านเวลาในการทำข้อสอบ
ที่ชัดเจน ผู้เข้าสอบต้องสามารถบริหารเวลาในการทำข้อสอบให้เหมาะสมกับแต่ละพาร์ต เพื่อให้สามารถทำข้อสอบได้ครบทุกข้อ
ภายในเวลาที่กำหนด และเพิ่มโอกาสในการทำคะแนนได้สูงที่สุด
ข้อสอบ ก.พ. แบ่งออกเป็น 3 พาร์ตหลัก ได้แก่ ความสามารถทั่วไป, ภาษาไทย, และ ภาษาอังกฤษ ซึ่งแต่ละพาร์ตมีลักษณะและจำนวนข้อสอบแตก
ต่างกันไป ส่งผลต่อการวางแผนการบริหารเวลา ดังนี้
เลือกอ่าน...ตามหัวข้อที่คุณสนใจ
Toggle📌 วิเคราะห์เวลาที่ได้รับในแต่ละพาร์ต
Part ความสามารถทั่วไป
📍จำนวนข้อสอบ: ประมาณ 50–60 ข้อ
📍เวลาโดยประมาณ: 90 นาที
ลักษณะของข้อสอบ: พาร์ตนี้เน้นการวัดความสามารถทางด้านการคิดวิเคราะห์ การคำนวณ และตรรกะ โดยคำถามหลักๆ จะประกอบไปด้วย
🟡 การวิเคราะห์เชิงตัวเลข เช่น โจทย์คณิตศาสตร์พื้นฐาน อนุกรมตัวเลข สมการ และเปอร์เซ็นต์
🟡 การวิเคราะห์ข้อมูลจากตารางหรือกราฟ
🟡 การคิดเชิงตรรกะ เช่น โจทย์เกี่ยวกับเหตุผลเชิงสัมพันธ์หรือรูปภาพ
การจัดสรรเวลา
✅ เวลาที่เหมาะสมต่อข้อ: ประมาณ 1.5-2 นาที
✅ ข้อสอบพาร์ตนี้ต้องการการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล ผู้สอบควรเริ่มต้นด้วยข้อที่ง่ายหรือถนัดก่อนเพื่อเก็บคะแนนให้ได้มากที่สุด
และข้ามข้อที่ใช้เวลาในการคำนวณนานเกินไปไว้ทำภายหลัง
✅ ควรใช้เวลา 60-70 นาที ในการทำข้อสอบหลัก และเผื่อเวลา 10-15 นาทีสุดท้ายเพื่อกลับมาทบทวนข้อที่ข้ามไว้
Part ภาษาไทย
ลักษณะของข้อสอบ: วัดทักษะการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องและเหมาะสม
📍จำนวนข้อสอบ: ประมาณ 25–30 ข้อ
📍เวลาโดยประมาณ: 45 นาที
🟡 การอ่านจับใจความสำคัญจากบทความหรือข้อความสั้นๆ
🟡 การวิเคราะห์บทความ เช่น การระบุแนวคิดหลัก หรือจุดประสงค์ของผู้เขียน
🟡 การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง เช่น การเรียงประโยค, การหาคำผิดคำถูก, และคำเชื่อมที่เหมาะสม
การจัดสรรเวลา
✅ เวลาที่เหมาะสมต่อข้อ: ประมาณ 1.5-2 นาที
✅ การอ่านจับใจความเป็นหัวใจสำคัญของพาร์ตนี้ ผู้เข้าสอบควรอ่านคำถามก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าควรเน้นอ่านจุดไหนของบทความ
เพื่อลดเวลาในการอ่านทบทวนหลายรอบ
✅ ใช้เวลาในการทำข้อสอบแต่ละบทความประมาณ 5-7 นาที และพยายามไม่ให้เกินเวลา เพราะบางข้ออาจมีความซับซ้อนและต้องตีความมากขึ้น
Part ภาษาอังกฤษ
📍จำนวนข้อสอบ: ประมาณ 25–30 ข้อ
📍เวลาโดยประมาณ: 45 นาที
🟡 การอ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading Comprehension) เช่น การวิเคราะห์บทความสั้นๆ และตอบคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่อ่าน
🟡 คำศัพท์ (Vocabulary) เช่น การหาความหมายของคำศัพท์ หรือการเติมคำในช่องว่างให้ถูกต้อง
🟡 ไวยากรณ์ (Grammar) เช่น การเรียงประโยคหรือการเลือกใช้คำกริยาให้เหมาะสม
การจัดสรรเวลา
✅ เวลาที่เหมาะสมต่อข้อ: ประมาณ 1.5-2 นาที
✅ ในส่วนของการอ่านบทความ ให้ใช้เทคนิค "Skim & Scan" คือ การกวาดตาอ่านเพื่อหาคำหรือประโยคที่ตรงกับคำถาม
✅ สำหรับคำศัพท์และไวยากรณ์ ให้เน้นทำข้อที่มั่นใจและถนัดก่อน ข้อที่ไม่มั่นใจให้ทำเครื่องหมายไว้ และกลับมาทำภายหลัง
📌 แชร์เคล็ดลับ จัดการเวลาสอบ ก.พ. ให้ไม่พลาดทุกคำถาม
การสอบ ก.พ. หรือการทดสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไปของสำนักงาน ก.พ. ถือเป็นด่านสำคัญที่ผู้สมัครสอบราชการทุกคนต้องผ่าน
ให้ได้ การสอบนี้ไม่เพียงแต่วัดทักษะความรู้ในวิชาต่างๆ เช่น ความสามารถทั่วไป ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แต่ยังท้าทายความสามารถในการ
บริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพ เพราะข้อสอบมีจำนวนมาก และเวลาค่อนข้างจำกัด ซึ่งหากจัดการเวลาไม่ดี อาจทำให้พลาดคำถามสำคัญหลาย
ข้อโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น การฝึกฝนและวางแผนการจัดการเวลาในการทำข้อสอบจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และนี่คือเคล็ดลับสำคัญในการจัดการเวลาสอบ
ก.พ. เพื่อให้คุณทำข้อสอบได้อย่างครบถ้วน ไม่พลาดทุกคำถาม และมีโอกาสผ่านอย่างมั่นใจ
🕐 แบ่งเวลาตามสัดส่วนของข้อสอบ
ข้อสอบ ก.พ. มักแบ่งออกเป็น 3 พาร์ตหลัก ได้แก่ ความสามารถทั่วไป (คณิตศาสตร์และเหตุผล), ภาษาไทย, และ ภาษาอังกฤษ
โดยแต่ละพาร์ตมีจำนวนข้อและความยากง่ายแตกต่างกัน ผู้สอบควรจัดสรรเวลาในแต่ละพาร์ตให้ชัดเจน เช่น:
📝 พาร์ตความสามารถทั่วไป: 90 นาที
📝 พาร์ตภาษาไทย: 45 นาที
📝 พาร์ตภาษาอังกฤษ: 45 นาที
เมื่อรู้เวลาโดยประมาณสำหรับแต่ละพาร์ตแล้ว ควรกำหนดเวลาในการทำข้อสอบต่อข้อ เช่น ข้อสอบที่ใช้การคิดคำนวณหรือวิเคราะห์ละเอียดให้
ใช้เวลาไม่เกิน 1.5-2 นาทีต่อข้อ ข้อสอบภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับการอ่านจับใจความหรือเติมคำควรใช้เวลาประมาณ 1-1.5 นาทีต่อข้อ
🕐 เริ่มจากข้อที่ถนัดและทำได้เร็วที่สุด
ในข้อสอบแต่ละพาร์ต จะมีคำถามที่ยากและง่ายคละกันไป ดังนั้นอย่าเสียเวลาอยู่กับคำถามที่ทำไม่ได้ในทันที ควรเลือกทำข้อที่ถนัดและคิดว่า
สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องก่อน เพื่อเก็บคะแนนส่วนนี้ให้ได้มากที่สุด แล้วค่อยย้อนกลับมาทำข้อที่เหลือภายหลัง
📍เทคนิคนี้จะช่วยให้คุณทำคะแนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำข้อสอบไม่ทัน
📍การทำข้อที่ง่ายก่อนยังช่วยเพิ่มความมั่นใจและลดความกดดันในห้องสอบอีกด้วย
🕐 ฝึกจับเวลาในการทำข้อสอบเสมือนจริง
การฝึกทำข้อสอบเสมือนจริงเป็นสิ่งจำเป็นในการเตรียมสอบ ก.พ. เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับรูปแบบข้อสอบแล้ว ยังเป็นการฝึกฝน
ทักษะการบริหารเวลาให้เหมาะสมอีกด้วย โดยควร:
📍ทำข้อสอบชุดใหญ่แบบจับเวลาเหมือนสอบจริง
📍แบ่งเวลาให้แต่ละพาร์ตตามที่วางแผนไว้ และหมั่นฝึกให้ทำทันในเวลาที่กำหนด
📍จดบันทึกว่าพาร์ตไหนใช้เวลานานเกินไป และปรับปรุงในจุดนั้นให้ดีขึ้น
การฝึกบ่อยๆ จะทำให้คุณรู้ว่าข้อสอบประเภทไหนใช้เวลาเท่าไหร่ และสามารถวางแผนการทำข้อสอบได้อย่างรัดกุมในวันสอบจริง
🕐 ใช้เทคนิคการอ่านเร็ว (Skim & Scan) สำหรับข้อสอบภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ข้อสอบภาษาไทยและภาษาอังกฤษมักเป็นข้อสอบที่เกี่ยวข้องกับการอ่านจับใจความ ซึ่งอาจทำให้เสียเวลาในการอ่านข้อความยาวๆ ดังนั้นการ
ใช้เทคนิคการอ่านเร็วอย่าง Skim & Scan จะช่วยประหยัดเวลาได้มากขึ้น
🌟 Skim: อ่านบทความโดยกวาดตาดูเนื้อหาคร่าวๆ เพื่อจับใจความหลัก
🌟 Scan: มองหาคำสำคัญหรือข้อมูลเฉพาะที่ตรงกับคำถาม
เทคนิคนี้ช่วยให้คุณหาคำตอบได้รวดเร็วโดยไม่ต้องอ่านทุกรายละเอียด
🕐 อย่าปล่อยให้คำถามใดว่างไว้
ในข้อสอบ ก.พ. ไม่มีการหักคะแนนสำหรับคำตอบที่ผิด ดังนั้นไม่ว่าข้อไหนที่ไม่แน่ใจ ให้เดาคำตอบที่คิดว่าถูกต้องที่สุดเอาไว้
เพราะการปล่อยว่างไม่ตอบเลยเท่ากับเสียโอกาสในการทำคะแนน
🌟 เมื่อเหลือเวลา 5-10 นาทีสุดท้าย ควรไล่เช็กข้อที่ยังไม่ได้ทำ และทำการเลือกคำตอบ
🌟 หากทำข้อสอบแบบฝนกระดาษคำตอบ ควรเผื่อเวลา 5 นาทีสุดท้ายในการตรวจสอบความถูกต้องของการฝนคำตอบให้ครบทุกข้อ
🕐 ตั้งสติและควบคุมอารมณ์ให้ดี
ในห้องสอบ ความกดดันและความเครียดอาจทำให้การจัดการเวลาเสียไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นควรมีสติอยู่เสมอ หากเจอข้อที่ยากให้สูดลม
หายใจลึกๆ และข้ามไปทำข้อถัดไปก่อน อย่าปล่อยให้ความกังวลมาทำให้เสียเวลาและสมาธิในการทำข้อสอบ
📌 สรุปเคล็ดลับจัดการเวลาสอบ ก.พ.
ในห้องสอบ ความกดดันและความเครียดอาจทำให้การจัดการเวลาเสียไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นควรมีสติอยู่เสมอ หากเจอข้อที่ยากให้สูดลม
หายใจลึกๆ และข้ามไปทำข้อถัดไปก่อน อย่าปล่อยให้ความกังวลมาทำให้เสียเวลาและสมาธิในการทำข้อสอบ
✅ แบ่งเวลาตามสัดส่วนของข้อสอบอย่างชัดเจน
✅ ทำข้อที่ถนัดและง่ายก่อน
✅ ฝึกทำข้อสอบเสมือนจริงพร้อมจับเวลา
✅ ใช้เทคนิคการอ่านเร็วสำหรับพาร์ตภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
✅ ทำทุกคำถาม อย่าปล่อยข้อไหนว่างไว้
✅ ตั้งสติและควบคุมอารมณ์ให้ดี
คุณสามารถจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้คุณทำข้อสอบได้ครบถ้วน มีเวลาตรวจทาน และเพิ่มโอกาสในการสอบผ่านได้อย่าง
แน่นอน
📌 เทคนิคการบริหารเวลาโดยรวม
💡 ทำข้อที่ง่ายก่อน – ข้อสอบทุกพาร์ตจะมีข้อที่ยากและง่ายปะปนกันไป ให้เลือกทำข้อที่คิดว่าสามารถตอบได้เร็วและถูกต้องก่อน
💡 จับเวลาในการทำข้อสอบ – หมั่นดูนาฬิกาเป็นระยะ เพื่อให้แน่ใจว่าใช้เวลาไม่เกินที่กำหนดในแต่ละพาร์ต
💡 ข้ามข้อที่ยากไว้ก่อน – หากพบข้อสอบที่ยากและต้องใช้เวลานานเกินไป ให้ข้ามไปก่อนและกลับมาทำใหม่เมื่อเหลือเวลา
💡 เผื่อเวลาในการตรวจทาน – ในช่วง 5-10 นาทีสุดท้าย ควรเผื่อเวลาในการตรวจทานคำตอบ โดยเฉพาะข้อที่ข้ามไว้
การบริหารเวลาในการสอบ ก.พ. เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้สอบทำข้อสอบได้ครบถ้วนและ
มีประสิทธิภาพ พาร์ตความสามารถทั่วไปใช้เวลาและ
การวิเคราะห์มากที่สุด จึงต้องวางแผนให้ดี ส่วนพาร์ตภาษาไทยและ
ภาษาอังกฤษเน้นการทำข้อสอบด้วยความรอบคอบและการอ่านจับใจ
ความอย่างรวดเร็ว ผู้สอบควรฝึกฝนการทำข้อสอบเสมือนจริงบ่อยๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและประเมินความสามารถในการบริหารเวลาได้อย่าง
เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้การสอบ ก.พ. เป็นไปอย่างมั่นใจและประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
📌 เลือกทำข้อที่ง่ายก่อน หรือข้อที่ได้คะแนนสูงก่อน
การสอบแข่งขันต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบ ก.พ. หรือการสอบเข้าทำงานภาคราชการ ผู้เข้าสอบมักเผชิญกับความท้าทายในการจัดการ
เวลาและการวางแผนทำข้อสอบให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยคือ ควรเริ่มทำข้อสอบจากข้อที่ง่ายก่อน หรือข้อที่ได้คะแนนสูง
ก่อน? การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณทำข้อสอบได้ครบถ้วนและมีโอกาสทำคะแนนได้มากที่สุด
ทั้งสองแนวทางมีข้อดีและข้อเสียต่าง
กันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อสอบ เวลาที่กำหนด และความสามารถเฉพาะตัวของผู้สอบ ดังนั้นเรามาวิเคราะห์เชิงลึกกันว่าแต่ละกลยุทธ์เหมาะ
กับสถานการณ์ใด และควรใช้อย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
📌กลยุทธ์: ทำข้อที่ง่ายก่อน
หลักการ: เริ่มต้นทำข้อสอบจากข้อที่คิดว่าทำได้เร็วและมั่นใจว่าตอบถูกต้องที่สุด เพื่อเก็บคะแนนสะสมและลดความกดดัน
ข้อดีของการทำข้อที่ง่ายก่อน:
💡 เก็บคะแนนได้อย่างรวดเร็ว: ข้อที่ง่ายและทำได้ไวจะช่วยให้คุณมั่นใจว่าได้คะแนนจากข้อเหล่านั้นแน่นอน
💡 ลดความตื่นเต้นและความเครียด: การเริ่มทำข้อที่ง่ายทำให้สมองผ่อนคลาย มีสมาธิมากขึ้น และสร้างความมั่นใจในการทำข้อสอบ
💡 ข้ามข้อที่ยากไว้ก่อน – หากพบข้อสอบที่ยากและต้องใช้เวลานานเกินไป ให้ข้ามไปก่อนและกลับมาทำใหม่เมื่อเหลือเวลา
💡 ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า: การทำข้อที่ง่ายก่อนช่วยให้คุณประหยัดเวลา และไม่เสี่ยงเสียเวลานานเกินไปกับข้อที่ยากตั้งแต่แรก
💡 เหลือเวลาไปจัดการข้อยาก: เมื่อทำข้อที่ง่ายเสร็จแล้ว คุณจะมีเวลามากขึ้นในการแก้โจทย์ข้อที่ยากหรือซับซ้อน
สถานการณ์ที่เหมาะกับการทำข้อที่ง่ายก่อน:
🟡 ข้อสอบที่มีจำนวนคำถามมาก และเวลาจำกัด เช่น ข้อสอบ ก.พ. ซึ่งเน้นจำนวนข้อที่หลากหลาย
🟡 ผู้สอบที่ต้องการสร้างความมั่นใจในช่วงเริ่มต้น เพราะการตอบข้อที่ง่ายได้ถูกต้องจะทำให้เกิดกำลังใจในการทำข้อสอบต่อ
🟡 ข้อสอบที่แต่ละคำถามให้คะแนนเท่ากัน เช่น ข้อสอบปรนัยหรือ multiple choice
วิธีปฏิบัติ:
✔️ กวาดตาดูข้อสอบทั้งชุดอย่างรวดเร็วในช่วงแรก (ประมาณ 1-2 นาที)หรือต้องใช้เวลามากขึ้น
✔️ ใช้สัญลักษณ์ทำเครื่องหมายไว้ เช่น ✔สำหรับข้อที่มั่นใจทำได้เร็ว, ? สำหรับข้อที่ไม่แน่ใจ และ ✘ สำหรับข้อที่ยากหรือต้องใช้เวลามากขึ้น
✔️ เริ่มต้นทำจากข้อที่ทำได้เร็วและมั่นใจว่าจะตอบถูกต้อง
หลังจากเก็บคะแนนจากข้อที่ง่ายแล้ว ค่อยย้อนกลับไปทำข้อที่ยาก
กลยุทธ์: ทำข้อที่ได้คะแนนสูงก่อน
เริ่มต้นทำข้อสอบจากคำถามที่มีคะแนนสูงหรือให้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุด แม้ว่าข้อเหล่านั้นอาจจะยากกว่า เพื่อให้มั่นใจว่าได้คะแนนก้อนใหญ่ก่อน
ข้อดีของการทำข้อที่ได้คะแนนสูงก่อน:
✅ เก็บคะแนนก้อนใหญ่ไว้ก่อน หากข้อสอบมีการกำหนดคะแนนไม่เท่ากัน เช่น ข้อบางประเภทได้ 2 คะแนน ในขณะที่ข้ออื่นๆ ได้ 1 คะแนน
ที่มีคะแนนสูงก่อนจะช่วยเพิ่มโอกาสได้คะแนนรวมมากขึ้น
✅ ป้องกันการพลาดคะแนนสำคัญ: ในกรณีที่ทำข้อสอบไม่ทัน การเริ่มจากข้อที่มีคะแนนมากจะทำให้ไม่เสียคะแนนที่สำคัญไป
✅ เหมาะกับคนที่ทำข้อยากได้ดี: หากผู้สอบเป็นคนที่มีความถนัดในการแก้โจทย์ยาก การเริ่มต้นจากข้อที่มีคะแนนสูงจะ
ทำให้ใช้ความสามารถได้เต็มที่
สถานการณ์ที่เหมาะกับการทำข้อที่ได้คะแนนสูงก่อน:
📍 ข้อสอบที่กำหนดคะแนนแตกต่างกัน เช่น ข้อสอบอัตนัย (Essay) ข้อสอบคำนวณ หรือข้อสอบที่มีหลายตอนให้คะแนนตามความยากง่าย
📍ผู้สอบที่มั่นใจในความสามารถของตนเองในการทำข้อยากก่อน โดยไม่กดดันหรือเสียสมาธิ
📍เวลาที่มีจำกัดมากและต้องการเก็บคะแนนสูงสุดในเวลาที่มี
สถานการณ์ที่เหมาะกับการทำข้อที่ได้คะแนนสูงก่อน:
📍อ่านคำชี้แจงข้อสอบและตรวจสอบคะแนนของแต่ละข้อหรือแต่ละพาร์ต
📍ระบุข้อที่มีคะแนนสูงและประเมินความยากง่ายของข้อเหล่านั้น
📍เริ่มทำจากข้อที่มีคะแนนสูงสุดและพยายามใช้เวลาอย่างคุ้มค่า
📍เมื่อทำเสร็จแล้วจึงย้อนกลับมาทำข้อที่มีคะแนนต่ำลง
คำแนะนำ: ผสมผสานทั้งสองกลยุทธ์
จากการวิเคราะห์ทั้งสองกลยุทธ์ จะเห็นได้ว่าต่างมีข้อดีและข้อจำกัด ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการผสมผสานทั้งสองวิธีเข้าด้วยกัน โดยเริ่มต้นทำข้อที่
ง่ายและได้คะแนนแน่นอนก่อน จากนั้นจึงไปทำข้อที่มีคะแนนสูงเพื่อเก็บคะแนนก้อนใหญ่ต่อไป
แนวทางปฏิบัติแบบผสมผสาน
📍ขั้นตอนแรก: ใช้เวลา 1-2 นาทีแรกกวาดตาดูข้อสอบและวางแผนการทำ
📍ขั้นตอนที่สอง: ทำข้อที่ง่ายก่อนเพื่อเก็บคะแนนอย่างรวดเร็วและสร้างความมั่นใจ
📍ขั้นตอนที่สาม: หลังจากทำข้อที่ง่ายหมดแล้ว ให้กลับไปทำข้อที่มีคะแนนสูงหรือข้อที่ยากขึ้น
📍ขั้นตอนสุดท้าย: ตรวจทานคำตอบทั้งหมด และดูว่ามีข้อไหนที่ยังข้ามไปหรือทำไม่เสร็จบ้าง
การเลือกว่าจะทำข้อที่ง่ายก่อนหรือข้อที่ได้คะแนนสูงก่อนนั้น ขึ้นอยู่กับรูปแบบข้อสอบและความสามารถของผู้สอบ หากข้อสอบให้คะแนนเท่ากัน
การทำข้อที่ง่ายก่อนจะช่วยให้เก็บคะแนนได้อย่างรวดเร็วและลดความกดดัน แต่หากข้อสอบมีคะแนนไม่เท่ากัน ควรเน้นไปที่ข้อที่มีคะแนนสูง
ก่อนเพื่อป้องกันการเสียคะแนนสำคัญ
ท้ายที่สุดแล้ว การผสมผสานทั้งสองกลยุทธ์และการฝึกฝนทำข้อสอบ
เสมือนจริงบ่อยๆ จะช่วยให้ผู้สอบสามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำคะแนนได้สูงสุดตามที่คาดหวังไว้
📌 ควรเตรียมตัวสอบกี่เดือน
การสอบ ก.พ. (การทดสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไป) เป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานราชการ การเตรียมตัวให้ดีและ
มีเวลาเพียงพอเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสอบผ่าน ดังนั้นคำถามที่หลายคนสงสัยก็คือ ควรเตรียมตัวสอบกี่เดือนจึงจะเพียงพอ
ซึ่งคำตอบนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรู้พื้นฐานของผู้สอบ ความสามารถในการเรียนรู้ และความสม่ำเสมอในการอ่านหนังสือ
ควรเตรียมตัวสอบกี่เดือน สำหรับการสอบ ก.พ.: แผนการเตรียมความพร้อมอย่างมีประสิทธิภาพ
การสอบ ก.พ. (การทดสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไป) เป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานราชการ การเตรียมตัวให้ดีและ
มีเวลาเพียงพอเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสอบผ่าน ดังนั้นคำถามที่หลายคนสงสัยก็คือ ควรเตรียมตัวสอบกี่เดือนจึงจะเพียงพอ
ซึ่งคำตอบนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรู้พื้นฐานของผู้สอบ ความสามารถในการเรียนรู้ และความสม่ำเสมอในการอ่านหนังสือ
📌 ระยะเวลาที่เหมาะสมในการเตรียมตัวสอบ ก.พ.
โดยทั่วไป ผู้สมัครสอบควรเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างน้อย 3-6 เดือน ก่อนวันสอบจริง แต่ทั้งนี้สามารถปรับให้เหมาะสมตามความพร้อมและ
ความถนัดของตนเองได้ ซึ่งระยะเวลานี้แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ดังนี้
สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานความรู้ดีอยู่แล้ว
🕐 ระยะเวลาเตรียมตัว: 2-3 เดือน
ผู้ที่มีพื้นฐานความรู้แน่นทั้งในวิชาคณิตศาสตร์ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ จะใช้เวลาไม่นานในการทบทวนเนื้อหา
และฝึกทำข้อสอบเก่า การเตรียมตัวในช่วงนี้จะเน้นไปที่การทบทวนจุดอ่อนของตนเอง และฝึกทำข้อสอบเสมือนจริงให้มากที่สุด
แผนการเตรียมตัวสำหรับ 3 เดือน:
🪄 เดือนที่ 1: ทบทวนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความสามารถทั่วไป (เช่น คณิตศาสตร์พื้นฐาน, การคิดวิเคราะห์)
🪄 เดือนที่ 2: ทบทวนภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ฝึกทำโจทย์เก่าๆ และดูแนวข้อสอบ
🪄 เดือนที่ 3: ฝึกทำข้อสอบเสมือนจริง จับเวลา และวิเคราะห์ผลการทำข้อสอบ
สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานปานกลาง
ระยะเวลาเตรียมตัว: 4-5 เดือน
สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานในระดับปานกลาง เช่น เข้าใจเนื้อหาบางส่วน แต่ยังมีจุดที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม
การเตรียมตัวในระยะ 4-5 เดือนจะช่วยให้มีเวลาเพียงพอในการเติมเต็มจุดที่ขาด และฝึกฝนทักษะต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
แผนการเตรียมตัวสำหรับ 4-5 เดือน:
🟡 เดือนที่ 1-2:
ปูพื้นฐานวิชาคณิตศาสตร์ เช่น การคำนวณเปอร์เซ็นต์, อัตราส่วน, อนุกรมตัวเลข
เรียนรู้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูล
ตาราง และกราฟ
🟡 เดือนที่ 3:
ทบทวนวิชาภาษาไทย ฝึกทำข้อสอบเกี่ยวกับการอ่านจับใจความ, การสรุปความ และการวิเคราะห์ข้อความ
เริ่มฝึกภาษาอังกฤษพื้นฐาน เช่น คำศัพท์, Grammar และการอ่านบทความสั้นๆ
🟡 เดือนที่ 4:
ฝึกทำข้อสอบเก่าทั้ง 3 วิชา พร้อมจับเวลา
ทบทวนข้อที่ผิดพลาด และศึกษาเทคนิคการทำข้อสอบให้รวดเร็วขึ้น
🟡 เดือนที่ 5:
ทำข้อสอบเสมือนจริงหลายชุดเพื่อให้เกิดความชำนาญ
สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานอ่อนหรือเริ่มต้นจากศูนย์
ระยะเวลาเตรียมตัว: 6 เดือนขึ้นไป
หากผู้สมัครสอบรู้สึกว่าตนเองมีพื้นฐานไม่แน่นในวิชาที่จะสอบ หรือห่างเหินจากการเรียนมาเป็นเวลานาน การเตรียมตัวอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป
จะทำให้มีเวลาเพียงพอในการเรียนรู้เนื้อหาใหม่ๆ และสร้างความมั่นใจในการทำข้อสอบ
แผนการเตรียมตัวสำหรับ 6 เดือน:
เดือนที่ 1-2:
ปูพื้นฐานคณิตศาสตร์ใหม่ทั้งหมด เช่น การบวก-ลบ-คูณ-หาร, การแก้สมการ, อนุกรมตัวเลข และการคิดวิเคราะห์
เรียนรู้เนื้อหาภาษาไทยพื้นฐาน เช่น การอ่านจับใจความและการใช้ภาษาให้ถูกต้อง
เดือนที่ 3-4:
เริ่มเรียนภาษาอังกฤษพื้นฐาน เน้นการท่องคำศัพท์สำคัญและโครงสร้างไวยากรณ์
ฝึกทำข้อสอบคณิตศาสตร์และภาษาไทยชุดย่อยๆ
เดือนที่ 5:
เริ่มทำข้อสอบรวมแบบจับเวลา เน้นทำข้อสอบเก่าอย่างสม่ำเสมอ
วิเคราะห์จุดอ่อนจากการทำข้อสอบและทบทวนเนื้อหาที่ผิดบ่อย
เดือนที่ 6:
ทำข้อสอบเสมือนจริงอย่างต่อเนื่อง ฝึกความคุ้นชินในการจับเวลาและแก้ปัญหาในเวลาจำกัด
การเตรียมตัวสอบ ก.พ. ควรใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความรู้และความสามารถของผู้สอบ หากมีพื้นฐานดีอยู่แล้ว 2-3
เดือนก็เพียงพอ แต่หากมีพื้นฐานอ่อนหรือเริ่มจากศูนย์ ควรใช้เวลา 6 เดือนขึ้นไป เพื่อให้สามารถปูพื้นฐานใหม่ ทบทวนเนื้อหา และฝึกทำข้อสอบ
จนเกิดความมั่นใจ
ที่สำคัญที่สุดคือ ความสม่ำเสมอและวินัยในการอ่านหนังสือ หากคุณมีแผนการเรียนรู้ที่ชัดเจนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
โอกาสในการสอบผ่าน ก.พ. จะไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอน!
📌 ระยะเวลาที่เหมาะสมในการเตรียมตัวสอบ ก.พ.
การสอบ ก.พ. (ภาค ก) เป็นการทดสอบที่วัดความสามารถทั่วไป ซึ่งเป็นด่านแรกของการเข้ารับราชการในหน่วยงานต่าง ๆ ข้อสอบมักมีจำนวน
มากและเวลาจำกัด ดังนั้นการทำข้อสอบให้เสร็จทันเวลาและยังเหลือเวลาสำหรับตรวจทานคำตอบจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพื่อป้องกัน
ความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว การตรวจทานคำตอบก่อนส่งกระดาษสามารถช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าทุกข้อทำอย่างถูกต้อง
และไม่พลาดคะแนนไปอย่างน่าเสียดาย
📌 เหตุผลที่ควรตรวจทานคำตอบก่อนส่งกระดาษ
✅ ลดความผิดพลาดจากความรีบร้อน: ในช่วงเวลาที่ทำข้อสอบ คุณอาจตอบผิดเพราะความรีบร้อนหรือความกดดัน การตรวจทานคำตอบช่วย
ให้คุณเห็นข้อผิดพลาดที่อาจมองข้ามไป
✅ แก้ไขการกรอกคำตอบผิดพลาด: ในข้อสอบปรนัย การระบายคำตอบในกระดาษคำตอบเป็นสิ่งที่ต้องระวัง การระบายผิดข้อหรือข้ามข้อ
สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย
✅ ตรวจสอบคำตอบที่ไม่มั่นใจ: บางข้อที่คุณลังเลหรือเดาไว้ในตอนแรก เมื่อกลับมาตรวจทานอีกครั้ง คุณอาจนึกออกหรือหา
ข้อสรุปที่ถูกต้องกว่าเดิม
✅ เพิ่มความมั่นใจ: การตรวจทานคำตอบช่วยสร้างความมั่นใจว่าได้ทำข้อสอบอย่างดีที่สุด และไม่ได้ปล่อยข้อไหนว่างโดยไม่ตั้งใจ
ป้องกันข้อที่ทำไม่ครบ: ในบางครั้ง ผู้สอบอาจเผลอข้ามไปบางข้อ การตรวจทานทำให้แน่ใจว่าได้ทำครบทุกข้อ
วิธีการตรวจทานคำตอบอย่างมีประสิทธิภาพ
จัดสรรเวลาให้มีเวลาตรวจทาน
✅ ก่อนเริ่มทำข้อสอบ ให้กำหนดแผนการทำข้อสอบและเผื่อเวลาไว้สำหรับตรวจทานคำตอบ เช่น หากข้อสอบมีเวลา 2 ชั่วโมง ให้เผื่อ
เวลา 10-15 นาทีสุดท้ายไว้สำหรับตรวจทาน
✅ จับเวลาให้ดีในแต่ละพาร์ต หากใช้เวลาทำข้อสอบนานเกินไปในข้อที่ยาก ควรข้ามไปทำข้อถัดไปก่อน แล้วค่อยกลับมาดูใหม่เมื่อมีเวลา
ตรวจคำตอบในกระดาษคำตอบให้ถูกต้อง
⭕️ ข้อสอบ ก.พ. มักใช้กระดาษคำตอบแบบฝนวงกลม (OMR) การระบายคำตอบผิดตำแหน่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย เช่น ข้ามข้อแต่ลืมเลื่อนไปที่
ช่องคำตอบถัดไป
⭕️ เทคนิคการตรวจ:
ตรวจสอบว่าระบายคำตอบถูกต้องตรงกับข้อที่ทำในข้อสอบหรือไม่
ดูให้ดีว่าทุกข้อมีการฝนคำตอบไว้หรือไม่
หากข้อใดที่ข้ามไปหรือยังไม่ได้ทำ ให้รีบกลับมาทำก่อนหมดเวลา
ใช้ดินสอ 2B ที่มีคุณภาพดีเพื่อให้ฝนได้ชัดเจนและลบได้ง่าย หากต้องแก้ไข
ทบทวนข้อที่ทำผิดพลาดหรือไม่มั่นใจ
⭕️ ในระหว่างการทำข้อสอบ ให้ทำสัญลักษณ์กำกับข้อที่ไม่มั่นใจ เช่น ขีดเครื่องหมาย * ไว้หน้าข้อ เพื่อให้สามารถกลับมาดูใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
⭕️ ในช่วงตรวจทาน ให้ทบทวนข้อที่ทำเครื่องหมายไว้เป็นพิเศษ และลองอ่านคำถามหรือโจทย์ใหม่อีกครั้ง เพื่อดูว่ามีสิ่งที่มองข้ามไปหรือไม่
เคล็ดลับเพิ่มเติม
⭕️ สำหรับข้อคำนวณหรือโจทย์ตรรกะ ให้ตรวจคำตอบโดยการ ย้อนรอยการคิดคำนวณ เช่น คำนวณจากคำตอบย้อนกลับไปที่โจทย์
⭕️ หากเป็นข้อภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ให้อ่านคำถามและคำตอบอีกครั้งเพื่อความถูกต้องในการตีความ
ตรวจสอบข้อที่เดาหรือใช้วิธีตัดตัวเลือก
⭕️ หากมีข้อที่ต้องเดาเนื่องจากทำไม่ทันหรือไม่แน่ใจ ให้ลองทบทวนอีกครั้งโดยใช้วิธีการตัดตัวเลือกที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป
⭕️ บางครั้งการอ่านโจทย์รอบที่สองจะช่วยให้คุณเห็นคำตอบที่ชัดเจนขึ้น
ตรวจสอบภาพรวมของกระดาษคำตอบ
⭕️ ดูให้แน่ใจว่าคำตอบครบทุกข้อ ไม่มีช่องว่าง และไม่ระบายเกิน 1 ตัวเลือกในข้อเดียวกัน เพราะหากระบายมากกว่า 1 ข้อ ระบบจะนับ
เป็นคำตอบผิด
⭕️ ตรวจสอบความเรียบร้อยของการระบายคำตอบ ไม่ให้มีรอยขีดฆ่าหรือร่องรอยที่ทำให้ระบบตรวจคำตอบสับสน
การฝึกตรวจทานคำตอบตั้งแต่การทำข้อสอบฝึกหัด
การตรวจทานคำตอบให้มีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นต้องฝึกฝนเช่นเดียวกับการทำข้อสอบ การฝึกทำข้อสอบเก่าและจับเวลาเหมือนวันสอบจริง
จะช่วยสร้างความเคยชินและวางแผนเวลาสำหรับการตรวจทานได้ดีขึ้น
วิธีการฝึกตรวจทาน:
⭕️ ฝึกทำข้อสอบเก่าโดยกำหนดเวลาให้เหมือนจริง
⭕️ ทำข้อสอบให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด แล้วเผื่อเวลา 10-15 นาทีในการตรวจทานคำตอบ
⭕️ ฝึกทบทวนข้อผิดพลาด และจดบันทึกข้อที่ทำผิดบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิดซ้ำอีก
ข้อควรระวังในการตรวจทานคำตอบ
⭕️ อย่าเปลี่ยนคำตอบบ่อยเกินไป: หากไม่มั่นใจจริงๆ อย่าลบคำตอบและเปลี่ยนบ่อยเกินไป เพราะคำตอบแรกมักเป็นคำตอบที่ถูกต้องจาก
ความคิดแรกเริ่ม
⭕️ อย่าละเลยข้อที่ข้ามไป: ตรวจดูให้ดีว่าทุกข้อมีคำตอบหรือไม่ เพราะการปล่อยว่างไว้เป็นการเสียโอกาสในการทำคะแนน
การตรวจทานคำตอบก่อนส่งกระดาษคำตอบเป็นขั้นตอนที่ไม่ควรละเลยในการสอบ ก.พ. เพราะช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากความรีบเร่ง
และความประมาท ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบายคำตอบถูกต้องครบถ้วน และทบทวนข้อที่ไม่มั่นใจอีกครั้ง การจัดสรรเวลาอย่างเหมาะสม
และฝึกฝนการตรวจทานคำตอบตั้งแต่การทำข้อสอบฝึกหัด จะทำให้คุณมั่นใจและมีโอกาสทำคะแนนได้สูงขึ้นอย่างแน่นอน